ตอนแรกตั้งใจจะไม่เขียนบันทึกนี้ครับ เพราะการเขียนชื่นชมหัวหน้า จะนำมาซึ่งจิตอกุศลของคนที่ไม่หวังดี แต่เมื่อมีอาจารย์ที่สนใจเขียนข้อความในความเห็นของบันทึกที่ผ่านมาว่า จะรออ่านเทคนิคจาก ศ.ไพโรจน์ จึงน่าจะคุ้มค่าที่จะนำมาเผยแพร่ (โดยขออนุญาตท่านแล้ว)
เกริ่นนำ
- ศ.ไพโรจน์ ยื่น ผศ. ด้วยงานวิจัย ๒ เรื่อง (ฐาน ISI) ยื่น รศ. ด้วยตำรา ๑ เล่ม และผลงานวิจัยตีพิมพ์ ๘ ผลงานบนฐาน ISI ทั้งหมด ยื่นขอ ศ. ด้วยหนังสือ ๑ เล่ม ผลางานวิจัยตีพิมพ์ ๑๐ ผลงานบนฐาน ISI และเป็นผู้นิพนธ์หลักทั้งหมด ... ผ่านการประเมินรอบเดียว
- หนังสือที่ประกอบการยื่นเป็นเรื่อง แมลงลิ้นดำในเมืองไทย เป็นผลจากการทำวิจัยต่อเนื่องยาวนาน และผลการวิจัยบางอันเป็นการค้นพบใหม่ของโลกด้วย ... อาจารย์ไพโรจน์บอกว่า เริ่มเขียนตั้งแต่ตอนเรียนจบปริญญาเอก ตามคำของอาจารย์ที่ปรึกษาผู้ชี้แนะ (ศ.ดร.วิสุทธิ์ ใบไม้)
ควรจะเขียนหนังสือหรือตำรา
- เอกสารคำสอนยื่นได้ครั้งเดียว ดังนั้น ต้องทำเอกสารคำสอน ๒ วิชา วิชาหนึ่งยื่น รศ. อีกวิชายื่น ศ.
- ควรจะเขียนหนังสือหรือตำรา ... ตอบว่า
- ขึ้นอยู่กับความนิยมของสาขาวิชาที่ยื่นขอ เช่น
- ในสาขาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จะนิยมและยอมรับตำรามากกว่า
- ในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ว่า เขียนหนังสือดีกว่า
- ควรเลือกเขียนในสิ่งที่เราเชี่ยวชาญที่สุด โดยพิจารณาว่า งานวิจัยที่เรามีนั้นเหมาะที่จะแทรกไว้ในตำรา หรือสามารถนำมาเขียนเป็นหนังสือ เช่น
- ถ้างานวิจัยนำมาเขียนเป็นหนังสือได้เพียง ๓๐ - ๔๐ หน้า ก็ไม่ควรจะเขียนหนังสือ เป็นต้น .. หนังสือท่านยื่น ศ. หนาถึง ๓๐๐ กว่าหน้า
- ถ้างานวิจัยค่อนข้างกว้างขวาง เกี่ยวข้องกับหลายๆ สาขาวิชา อาจนำมาเขียนเป็นตำราจะดีกว่า
ข้อแนะนำเกี่ยวกับงานวิจัย
- สำหรับการขอ รศ. หรือ ศ. อย่าเน้นจำนวนอย่างเดียว โอกาสที่จะผ่านนั้นน้อยมาก การเน้นจำนวนอย่างเดียวในที่นี้หมายถึง การแยกผลวิจัยของตนเองออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วตีพิมพ์เป็นผลงานย่อยๆ หลายเรื่อง บางคนส่งไป ๒๐ เรื่อง อาจจะผ่านเพียงเรื่องเดียวก็เป็นได้
- วิธีการพิจารณาผลงานวิจัย คือ
- ๑ ดูว่าตีพิมพ์ที่ไหน คนในวงการนั้นๆ ยอมรับหรือไม่ อยู่ในฐานข้อมูลที่รู้จักหรือไม่
- ๒ ดูว่าท่านเขียนอะไร เกี่ยวข้องกับตำราหรือไม่ โดยดูอย่างละเอียด
- ๓ ผลงานวิจัยที่ดี ควรมีลักษณะผลงานที่ทำอย่างบูรณาการ คือ ใช้เครื่องมือหรือเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อหาคำตอบใดคำตอบหนึ่ง คือถือเป็นผลงานวิจัยไฮไลท์ ซึ่งควรจะมีแบบหนึ่งสัก ๑ หรือ ๒ เรื่อง (คือ มีงานวิจัยที่โดดเด่น)
เทคนิคการเขียนตำราหรือหนังสือ
- สำคัญที่สุดคือ ต้องใส่ผลงานวิจัย (ของทั้งตนเองและผู้อื่น) เข้าไปในตำรา (แทรกไว้ในตำรา) ได้มากน้อยแค่ไหน ... ถ้าไม่มี หรือมีน้อย ก็ไม่ผ่าน
- การเขียนตำรา ต้องไม่ใช่การแปล แม้แต่การแปลจากผลงานวิจัยของตนเอง ต้องเป็นการเรียบเรียง ... การแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยนั้นใช้ไม่ได้ ... ต้องเขียนใหม่ให้เป็นภาษาไทย
- ภาพที่ใช้ในตำรา ต้องมีคุณภาพดี ชัดเจน และต้องเขียนรายละเอียดเพิ่มเติม (ไม่ใช่มีแต่รูป) ... รูปภาพต้องอธิบายตัวมันเองได้
- มีความสม่ำเสมอในการใช้ภาษา เช่น ใช้คำใดในบทที่ ๑ ในบทที่ ๑๐ ก็ต้องใช้คำเดิม ฯลฯ
- ศัพท์เฉพาะต้องเป็นศัพท์บัญญัติจากสำนักราชบัณฑิตยสถานเท่านั้น
- ศัพท์เฉพาะคำใด ที่ไม่มีบัญญัติไว้ แนะนำให้ใส่ไว้เป็นฟุตโน๊ตในหน้านั้นๆ
- เขียนเสร็จแล้ว ควรส่งให้คนอื่นอ่านก่อน เช่น ให้เพื่อนอ่าน ฯลฯ
- ในคำนำ ต้องบอกให้ชัดว่า ตำราเล่มนี้ ใช้ในการสอนวิชาใด
- อย่ายึดเนื้อหาเฉพาะคำอธิบายรายวิชาเท่านั้น แต่ต้องดูจาก Textbook มาตรฐาน ที่นิยมใช้กันทั่วโลก ที่ใช้กันทั่วไป ... ผู้ทรงฯ จะไม่สนใจคำอธิบายรายวิชา
- อย่าเขียนตำราตามตำราเล่มอื่น นำตำราเล่มอื่นมาดูแนวทางการเขียนได้ แต่ตอนเขียนต้องเขียนตาม Review Articles เพราะจะมีองค์ความรู้ใหม่ และจะทำไม่ให้ซ้ำกับตำราเล่มอื่น
- ให้เรียบเรียงจาก Review Articles (แนะนำ Anual Review ต่างๆ )
- แต่อย่าแปลจาก Review Articles
- ควรใช้ Review Articles จากวารสารที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ
- องค์ประกอบในแต่ละบท
- ต้องมีบทนำ หรือมีการเกริ่นนำ ... ไม่ต้องจั่วหัวคำว่า "บทนำ" ก็ได้
- และมีหัวข้อย่อยตามความเหมาะสม ควรจะมีหลายหัวข้อย่อย
- มีสรุปตอนท้าย
- ถ้าเป็นตำราให้มีคำถามท้ายบท (หนังสือไม่ต้องมีคำถามท้ายบท)
- เอกสารอ้างอิงสามารถเอาไว้หลังบทหรือหลังเล่มก็ได้ แล้วแต่ชอบ...
- เปิดขึ้นหน้าของบทใหม่ อาจให้มีรูปและคำอธิบายความคิดรวบยอดของบทนั้น เพื่อสื่อถึงให้เห็นความสำคัญของบท
- ทุกครั้งที่เริ่มเขียนบทใหม่ ให้มีเกริ่นนำเสมอ
- โดยหลักการ เนื้อหาในแต่ละหัวข้อ (บทหนึ่งมีหลายหัวข้อ) ควรจะมีองค์ประกอบ ดังนี้
- ความรู้ ทฤษฎีพื้นฐาน
- แนวคิดสมัยใหม่ในหัวข้อนั้น (ได้จาก Review Articles)
- ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (งานวิจัยของตนเองหรือของคนอื่นก็ได้)
- ในกรณีที่นำงานวิจัยของคนอื่น ให้เลือกเอาจากวารสารดีๆ มาใส่เลย
- ถ้าไม่มีงานวิจัยของตนเองในเรื่องใดเลย โอกาสผ่านจะน้อยมาก
- อย่าเอาตัวอย่างจากหนังสือเล่มอื่นมาใส่
- ควรใส่รูป ภาพ ไดอะแกรม อินโฟกราฟฟิคต่างๆ ใส่ในตำรา ... และให้ดูเรื่องลิขสิทธิ์ให้ดี ทั้งภาพ ตัวอย่าง กราฟ ไดอะแกรม หรืออะไรต่างๆ
ผมขออนุญาตในเบื้องต้นแล้วสำหรับการบอกต่อแนวปฏิบัติ BP เหล่านี้ ซึ่งท่านก็ยินดีที่จะให้เผยแพร่ไปสู่ว่าที่ รศ. หรือ ศ. รุ่นใหม่ ให้มหาวิทยาลัยและประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น