นิสิตออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่น่าจะเรียกว่า แบบ Jigsaw (จิ๊กซอว์) ๓ กลุ่ม โดยเตรียมเนื้อหาและเอกสารขึ้น ๓ ชุด ๆ ละ ๑ หัวเรื่อง แบ่งนักเรียนเป็น ๓ กลุ่มด้วยการนับ ให้แต่ละคนศึกษาตามเอกสารที่กำหนดให้ แล้วกลับไปอธิบายให้เพื่อนฟังในกลุ่ม โดยใช้เทคนิคให้ช่วยกันทำแผนผังความคิด (Mind Mapping) ลงในกระดาษปลู๊ฟ ก่อนจะจบด้วยการนำเสนอ
- ชอบมากที่สุดคือ "พลัง" พลังในการสอนที่พุ่งออกมาจากภายใน (เหมือนผมจะเขียนเวอร์ไป แต่ผมสัมผัสได้) ผ่านออกมาทางท่วงทำนองพูด น้ำเสียงที่ดังฟังชัด ท่าทางประกอบการพูด ยกไม้ยกมือเป็นจังหวะกับเสียงสูงต่ำ ดัง ค่อย .... เป็นพลังที่สามารถดึงึความสนใจให้นักเรียนตั้งใจฟัง และมีส่วนร่วมกับเธอจนจบชั้นเรียนทีเดียว
- "ทำไมต้องใช้กระดาษปลู๊ฟ" ทำไมไม่ใช้กระดาษ A4 นิสิตต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ กระดาษปลู๊ฟมีขนาดใหญ่ จึงมีกลไกในตัวในการสร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และระดมสมองของคนในกลุ่มได้หลายคน
- อย่างไรก็ดี พื้นที่กระดาษแม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ขนาดรูปหรือตัวอักษรต้องใหญ่ไปด้วย ทำให้สัดส่วนพื้นที่ไม่ต่างจาก A4 มากนัก ดังนั้น หน้าที่อีกอย่างของมันคือ การนำเสนอให้คนอื่นรู้ได้ชัด แต่ก็ต้องคัดเอาเฉพาะคำสำคัญมาแสดง และต้องการผู้อธิบาย... กระดาษปลู๊ฟ จึงเอื้อต่อการอภิปรายด้วย
- ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการการแลกเปลี่ยนหรือระดมสมอง และไม่ต้องการให้อภิปรายกัน กระดาษปลู๊ฟจะไม่ได้ทำหน้าที่ของมันเท่าที่ควร
- การออกแบบการสอนที่มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ย่อมสร้างความสนุกได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่ฝากไว้คิดและพิจารณาคือ ...
- จงรักษาสมดุลระหว่างความสุขจากการเรียนรู้และความสุขจากความสนุกสนาน
- จงรักษาสมดุลระหว่างความท้าทาย แข่งขัน กับการแบ่งปัน ช่วยเหลือ ทำงานกันเป็นทีม
- ความจริง องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พัฒนามามากแล้ว หากเป๋น เมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ครูวิทยาศาสตร์จะต้องพยายามมากกว่านี้ หาสื่อ ออกแบบกิจกรรม นำวิธีต่าง ๆ มาอธิบาย ... แต่สมัยนี้ ครูวิทยาศาสตร์ที่รู้สึกว่าตนเองต้องเตรียมมาก สอนยาก รู้สึกว่าลำบากมาก ผมมีความเห็นว่า ครูวิทยาศาสตร์เหล่านั้นสอนผิดวิธี ไม่ได้เอาสิ่งที่พัฒนามาแล้วอย่างดีมาใช้ ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์คน ก็คือเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีไอซีที ที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว ... เช่น ถ้าจะสอนเรื่องระบบหมุนเวียนเลือด ก็แค่ใช้คลิปวีดีโอต่าง ๆ ที่มีให้เลือกเต็มยูทูป
- สิ่งที่ครูวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องทำได้ก็คือ สืบค้น เลือกสื่อที่เหมาะสม นำมาจัดการ ให้อยู่ในรูปที่เหมาะต่อนักเรียนไทยในแต่ละชั้นที่เราสอนที่สุด เช่น ดาวน์โหลด ตัดต่อ ใส่เสียงบรรยาย ฯลฯ หรือแม้แต่ใช้ในการใช้ประกอบการอธิบายก็ได้ .... (ปัญหาคือภาษาอังกฤษ แต่จำเป็น เป็นเรื่องสำคัญที่ครูวิทย์จะต้องใช้ภาษาอังกฤษได้)
พยายามจะเขียนข้อสะท้อนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ให้นิสิตจำได้ว่าเราเคยคุยอะไรกัน จะได้มาดูกันในการนิเทศครั้งที่ ๒
- ครูวิทยาศาสตร์ คือ ครูผู้มุ่งปลูกฝังจิตวิทยาศาสตร์และฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียน
- การออกแบบกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียน ต้องแม่นยำไปเชื่อมโยงไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังได้ ... ไม่ใช่หวังเพียงความ "สนใจ" แต่ต้องทำให้นักเรียนเกิดความ "สงสัย" ใคร่อยากรู้คำตอบด้วย
- รักษาสมดุลระหว่างความสุขจากการเรียนรู้และความสุขจากความสนุกสนาน
- ให้ความสำคัญและเวลากับการสะท้อนการเรียนรู้ของนักเรียน (Learning Reflection)
- สอนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ควรจะง่าย ทันสมัย และไปถึงขั้นนำไปใช้ ... ส่วนการสอนให้เกิดทักษะ ต้องเป็นภาระของครูที่ต้องฝึกฝนตนเองมาก ๆ
เชียร์ครับ สู้ต่อไป เพื่อประเทศไทยของเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น